เมื่อแสงแดดที่แผดเผา ขับรถอยู่บนท้องถนน แสงแดดส่องเข้ามาอย่างไม่ปรานี ตอนนั้นแขนของฉันถูกแดดเผาจนร้อนจัดและมีผื่นขึ้น ผิวคันอย่างน่ารำคาญ เเล้วเรื่องนี้ผ่านไป จึงทำให้ฉันรู้สึกว่า คงจะติดฟิล์มผิดเเนๆ ในตอนนั้น ฉันลองคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเเละนึกถึงความเจ็บปวดที่ถูกเเสงเเดดส่อง จึงเริ่มศึกษาฟิล์มรถยนต์อย่างตั้งใจ
ฉันเริ่มศึกษาแบรนด์ฟิล์มรถยนต์จากทั่วโลก วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา และไปศึกษาในฟอรัมรถยนต์ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟิล์มรถยนต์ที่เหมือนผู้รักฟิล์มอยากศึกษา ต่อมาฉันได้ข้อสรูปว่า เจ้าของรถส่วนใหญ่ต้องการใช้ฟิล์มรถยนต์ที่กันความร้อนและแสงแดดได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นฟิล์มที่ดูคมชัด ไม่เบียดบังสายตา ทัศนวิสัยดีและราคาที่เหมาะสม
ตามประสบการณ์เหล่านี้ ฉันเริ่มพัฒนาแบรนด์ฟิล์มรถยนต์ของตัวเอง VDEN ผ่านการทดลองและปรับปรุงหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เปิดตัวฟิล์มVDEN ที่สามารถกันความร้อนได้อย่างดี อัตราการส่งผ่านแสงสูงและราคาเหมาะสม
หลังจากฟิล์มVDEN เข้าสู่ตลาดก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างฮีท กลายเป็นของที่นิยมจากเจ้าของรถ ปัจจุบัน VDEN ได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีเข้าสู่ประเทศไทย หวังว่าคนไทยจะฟินไปกับประสบการณ์ที่มีความสุขความสบายจากฟิล์ม VDEN
ในช่วงอากาศร้อนๆ ฟิล์มVDEN จะเป็นกำแพงที่ดีที่สุดสำหรับคุณกับแสงแดด จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่สดชื่นและสะดวกสบาย
สำหรับประวัติของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่พัฒนามานานกว่า 50 ปี มีหลากหลายแบรนด์ได้รับการอัพเกรดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในศตวรรษ21 เทคโนโลยีรถยนต์ก้าวกระโดด ส่งผลให้ฟิล์มกรองแสงวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว ฟิล์มกรองแสงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ มีฟังก์ชั่นการทำงานหลากหลาย เช่น ป้องกันความร้อน ปกป้องผิวหนัง ป้องกันการระเบิด ป้องกันแสงสะท้อน ถนอมสายตาเเละรักษาความลับ แต่เนื่องจากความเเต่กต่างของฟังก์ชั่นในหลายแบรนด์ที่มีความเเตกต่างในภายนอก จะทำให้เจ้าของรถเลือกซื้อฟิล์มได้ยาก
เเล้วข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคที่พบได้ทั่วไปในคำอธิบายฟังก์ชั่นของฟิล์มในท้องตลาด เช่น ค่าการส่งผ่านแสง ค่าการป้องกันรังสีอินฟราเรด ค่าการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ค่ากันสะท้อนแสง ค่ากันประหยัดพลังงานแสงอาทิตย์เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เจ้าของรถสับสนและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ยาก
ดังนั้น จะควรเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพดีได้อย่างไร
จริงๆเเล้ว เเค่ง่ายนิดเดียว ข้อที่เป็นประเด็นจะมีดังนี้
**1. ให้ความสำคัญกับค่ากันความร้อนจากรังสีอินฟราเรด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 60% เป็นมาจากรังสีอินฟราเรดและรังสีอัลตราไวโอเลต ฟิล์มกรองแสงที่มีค่ากันรังสีอินฟราเรดควรต้องมากกว่า 85% ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ถ้าสามารถทำได้ถึง 95% หรือขึ้นไป ก็ยิ่งถือว่าเป็นฟิล์มกรองแสงพรีเมียม
**2. ป้องกันรังสี UV400 เพื่อปกป้องผิวหนัง เช่น ถ้าต้องการจะเน้นฟังก์ชั่นปกป้องผิวหนัง ถนอมความสวยความงาม ต้องมั่นใจว่าฟิล์มกรองแสงสามารถป้องกันรังสี UV400 ได้
**3. ให้ความสำคัญกับความคมชัด เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น ความคมชัดสูง หมายถึงการใช้ PET (วัสดุพลาสติกชนิดหนึ่ง) ที่เป็นฐานของฟิล์มคุณภาพดี สมมุติ:1.ฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีค่าความมัวต้องต่ำกว่าหรือเท่ากับ(≤) 1 จะถือว่าความคมชัดเป็นเกรดสูงสุด; 2. ฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีค่าความมัวระหว่างมากว่าหรือเท่ากับ1เเละต่ำกว่าหรือเท่ากับ 2 (1≤ ค่าความมัว ≤2) จะถือว่าความคมชัดเป็นเกรดสูง 3.ฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีค่าความมัวระหว่างมากว่าหรือเท่ากับ 2 เเละต่ำกว่าหรือเท่ากับ 4 (2≤ ค่าความมัว ≤4) จะถือว่าความคมชัดเป็นเกรดธรรมดา ความคมชัดของฟิล์มจะส่งผลต่อการมองเห็นของการขับขี่ ยิ่งฟิล์มไม่คมชัด ยิ่งทำให้สายตาเมื่อยล้าได้ง่ายมากขึ้น เเละเสี่ยงต่อการขับขี่ยิ่งขึ้น
สุดท้าย คงจะต้องเลือกฟิล์มกรองแสงมีคุณภาพดี ไม่เพียงแค่ใส่ใจค่ากันความร้อนจากรังสีอินฟราเรด ค่ากันรังสีอัลตราไวโอเลต และยังต้องมีความคมชัดด้วย เพื่อจำง่ายๆ ค่ากันความร้อนมาจากรังสีอินฟราเรด เป็นตัวชี้วัดสำคัญของประสิทธิภาพกันความร้อน เเละกันรังสี UV 400 จะทำให้มั่นใจได้ว่ากันรังสี UV 400ได้ ถนอมผิวหนัง เเล้วความคมชัดจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยในการขับขี่
ด้วยความคิดดีต่อคุณ เลือกฟิล์มคุณภาพดีได้อย่างง่ายดาย คุณเลือกถูกต้องยัง?